เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๙ มี.ค. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ เวลาฟังธรรมะ การฟังธรรมเพื่อให้หัวใจผ่องแผ้ว เพื่อหัวใจ เห็นไหม การได้ยินได้ฟัง สิ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้วตอกย้ำๆ คำว่า “ตอกย้ำ” เราได้ยินได้ฟังทุกวันแหละ ของใกล้ตัวเรานี่แหละ แต่เราไม่สามารถควบคุมได้ เราไม่สามารถควบคุมได้ มันเลยกัดกร่อนหัวใจของเราไง ถ้ามันกัดกร่อนหัวใจ เราบอกโลกเจริญไง เราต้องการความมั่นคงของชีวิต โลกเจริญ พอโลกเจริญ แต่เดิมเราทำไร่ไถนาโดยธรรมชาติ ถ้าธรรมชาติ อาหารความเป็นอยู่ เรากินด้วยความสบายใจ โลกเจริญขึ้นมา สารเคมีมหาศาลเลย เพื่อความมั่นคงของการเกษตรกรรม เพื่อผลกำไร

ทำสิ่งใดขึ้นมาแล้ว ทำแล้วพอเราจะกินอาหารขึ้นไป เราต้องคัดเลือก ในปัจจุบันนี้เขากลับมากินอาหารออร์แกนิค เพราะอะไร เพราะว่าเขาเห็นว่ามันเป็นโทษไง เห็นไหม แม้แต่การกินอาหาร การดำรงชีวิต เขายังคัดแยกเลยว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์และสิ่งใดเป็นโทษกับร่างกายนี้ เขาหาแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ร่างกายนี้ สุขภาพร่างกายเงินซื้อไม่ได้นะ เงินหาซื้อมาไม่ได้ เวลาเราต้องการความแข็งแรง เราต้องออกกำลังกายของเราเพื่อให้ร่างกายเราแข็งแรง ฉะนั้น เวลาเรากินอาหารขึ้นมาก็ต้องคัดแยกๆ ไง

ทีนี้เวลาฟังธรรมๆ หัวใจของเรา เวลาพระที่ฉันอาหาร ฉันเพื่อดำรงชีวิตนี้เท่านั้น แต่ทางโลกเขาเพื่อศักดิ์ศรี กินเพื่อกาม กินเพื่อเกียรติ กินเพื่อดำรงชีวิต แต่พระเราปฏิสังขาโย คัดแยก คัดเลือก สิ่งใดที่เป็นอาหารหนัก ฉันไปแล้วมันทับธาตุขันธ์ ไปภาวนาแล้วมันสัปหงกโงกง่วง แต่ถ้ากินอาหารเบาๆ กินอาหารเบาๆ กินไปแล้วมันกินไม่ได้มากหรอก เพราะกิเลสมันไม่พอใจ เพราะไปขีดวงให้มันไง พอกินสิ่งใดไม่ได้มาก เวลาไปนั่งภาวนามันก็สะดวกสบายขึ้น

พูดถึงปัจจัยเครื่องอาศัย คนมีสติปัญญาเขายังคัดแยกเลยว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์และสิ่งใดไม่เป็นประโยชน์ไง เวลาพระเราจะใช้ปัจจัย ๔ มันต้องมีสติปัญญา สมณะควรบริโภค บริโภคเพื่ออะไรล่ะ? บริโภคเพื่อดำรงชีวิตนี้ไว้ แล้วชีวิตนี้มีค่าสิ่งใด ชีวิตนี้มีค่า ชีวิตนี้ สัจธรรม สัจธรรมเข้าสู่ เห็นไหม หลวงตาท่านบอกว่าสิ่งที่สัมผัสธรรมได้ๆ คือความรู้สึกของคนเท่านั้นแหละ นี่ความรู้สึก

ดูสิ พระไตรปิฎกมันก็เป็นตำรับตำรา ตำรับตำราก็กระดาษ เขาใช้หมึกพิมพ์ มันมีชีวิตที่ไหน มันไม่มีชีวิตหรอก เราไปอ่านมา เราศึกษามา เราศึกษามาเราหูตาพองเลยนะ “โอ้โฮ! พระพุทธเจ้าทำไมฉลาดขนาดนี้ พระพุทธเจ้าทำไมชี้นำได้ขนาดนี้” เวลาอ่านขึ้นมาแล้ว ศึกษาแล้วมันซาบซึ้ง แต่เวลากิเลส กิเลสมันตีกลับ ตีกลับ “มันจะจริงหรือเปล่า มันจะมีหรือเปล่า”

คนถามบ่อย “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีตัวตนจริงหรือเปล่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีตัวตนจริงหรือเปล่า”

ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีตัวตนจริงหรือเปล่า ๒,๐๐๐ กว่าปี เรามีหลักฐานอะไร หลักฐานทางประวัติศาสตร์มันมีอยู่แล้ว แต่ถ้าครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” ถ้าจิตมันสงบเข้ามา มันสงบเข้ามา ตำรับตำราบอกไว้ว่าอย่างนั้น ตำรับตำราบอกไว้ว่าอย่างนั้น นี่ตำรับตำราบอกไว้เท่านั้นนะ เวลาจิตมันสงบเข้ามามันมหัศจรรย์กว่าตำรานั้นมหาศาลเลย

เขาว่ารสชาติอาหารนั้นมันดีขนาดนั้นๆ เรายังไม่ได้สัมผัส เราก็ยังไม่รู้ว่ามันดีขนาดไหน แต่เราได้สัมผัสขึ้นมา ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกในหัวใจขึ้นมา มันจะมหัศจรรย์มาก นี่แค่ความสงบของใจเท่านั้นนะ เวลามันเกิดปัญญาขึ้นมา เห็นไหม เวลาบวชพระมานะ พระเรา ดูสิ พระไตรปิฎกทั้งตู้ ท่องได้หมดเลย จำได้หมดทุกตัวอักษรเลยนะ มันจำได้ทุกตัวอักษร มันได้ภาษา แต่ความเข้าใจแทงทะลุไปให้ถึงอวิชชา ให้กิเลสมันสิ้นไป มันไม่มี มันไม่เข้าใจไง เพราะปริยัติเรียนไว้เพื่อปฏิบัติ

ตู้พระไตรปิฎกเขาท่องกันได้นะ พระปัจจุบันนี้ก็มีหลายองค์ที่ท่องได้ทั้งตู้เลย พระไตรปิฎกนี่ มันดีกว่าคอมพิวเตอร์อีก เขาก็มหัศจรรย์นะ เออ! ทำไมมนุษย์มันเก่งได้ขนาดนั้น ทำไมมนุษย์มีความสามารถขนาดนั้น แต่มนุษย์ก็ตายนะ มนุษย์ก็ตายไปโดยที่ว่าบุญกุศลก็พาไปเท่านั้นแหละ

แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ความรู้สึก ความรู้สึกที่จะสัมผัสธรรมได้ไง เวลาสติ เวลายับยั้งนะ เวลาคนทุกข์คนยาก หัวจะฟาดภูเขาเลยนะ เวลาเราทุกข์เรายาก แล้วเวลามีสติสตังยับยั้งความคิดเราได้ ความคิดที่มันวางได้ ดูสิ มันแตกต่างขนาดไหน สติมันจะมีความรู้ขนาดไหน เวลาจิตมันสงบขึ้นมา โอ๋ย! มันแตกต่างขนาดไหน นี่มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นสันทิฏฐิโก มันรู้ของมันนะ เวลาเกิดปัญญาขึ้นมา เห็นไหม

ไอน์สไตน์บอกว่าถ้าเขาเลือกได้ เขาเลือกนับถือศาสนาพุทธ เพราะเขาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเขาทึ่งมาก แต่เขาทึ่งมาก เขาก็ทึ่งมากได้แค่นั้นแหละ แต่เวลาเราเกิดปัญญาขึ้นมา ไอน์สไตน์ไม่รู้หรอก ไอน์สไตน์ ทฤษฎีสัมพัทธภาพทางวิทยาศาสตร์ขึ้นมา การค้นคว้าของเขา เขาค้นคว้ามาเป็นทางวิทยาศาสตร์ทางโลก เพื่อความสะดวกสบายทางโลก โลกเจริญๆ ไง

แต่ก่อน ดูสิ การแพทย์ไม่เจริญ คนเราเวลามีโรคระบาดขึ้นมา ต้องย้ายบ้านย้ายเรือนหนีกันเลยนะ พอการแพทย์เจริญขึ้นมา เราสามารถควบคุมได้ เราสามารถรักษาได้ เราสามารถดูแลได้ นี่โลกเจริญ แต่หัวใจมันร้อน หัวใจมันร้อน

ไอน์สไตน์ เวลาเขาคิด เขาคิดเพื่อความสะดวกสบายของสังคม เพื่อคุณภาพชีวิต เพื่อความเข้าใจทางโลก แต่เขาก็ต้องเกิดตาย เวลาตายไปนะ เวลาสอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่จะสิ้นชีวิตไป ลาแล้วธาตุขันธ์ ทิ้งหมด ร่างกายนี้ทิ้งหมด ทุกอย่างทิ้งหมด แม้แต่ขันธ์ ๕ ทิ้งหมด เพราะมันทิ้งมาตั้งแต่อวิชชา ขณะอวิชชามันตาย พญามารมันตาย สังโยชน์มันไม่มี มันไม่มีเครื่องร้อยรัดอยู่แล้ว มันจบสิ้นตั้งแต่บรรลุธรรมนั่นแหละ ฉะนั้น สิ่งที่จะไปจะมามันของแถมทั้งนั้นแหละ

แต่เวลาไอน์สไตน์มันจะตาย มันจะเอารางวัลโนเบลไปหรือเปล่า จะเอาใส่ไปในโลงไหม จะต้องเอาไปไหม มันติดไปหมดแหละ ถ้าคนมันติด มันติดไปทั้งนั้นแหละ นี่พูดถึงว่าถ้าเป็นปัญญาทางโลก

แต่ถ้ามันเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมา เราภาวนาขึ้นมา แล้วมันบอกได้อย่างไรล่ะ มันบอกได้อย่างไร? เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยไว้ในพระไตรปิฎก สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา แล้วภาวนามยปัญญาเป็นอย่างไรล่ะ มันเป็นอย่างไร

เวลาเราศึกษามาเป็นสุตมยปัญญา นี่สัญญา คือข้อมูล คือธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเราทำความสงบของใจเข้ามา เวลาเราจะต่อยอด ต่อยอดขึ้นไปด้วยภาวนามยปัญญา ปัญญาจากจิตดวงนั้น ปัญญาที่สำรอกคายกิเลสในใจดวงนั้น ปัญญาที่เป็นมรรคญาณที่ทำลายอวิชชาในใจดวงนั้น ถ้าใจดวงนั้น นี่ไง ถ้าทำใจดวงนั้นมันก็จบสิ้นใจดวงนั้น เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกในใจดวงนั้น ถ้าใจดวงนั้นขึ้นมา สิ่งนี้เวลาจะลาธาตุขันธ์ ลาโลก ลากันเสียที

แต่ของเรามันไม่ใช่ลาโลกหรอก เขาตรวจดีเอ็นเอ พันธุกรรมมันไปต่อเนื่อง จะกลับมาเกิดอีก จะมาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้าเวียนว่ายตายเกิด ผลของกรรมมันมีอยู่ของมัน มันเป็นอย่างนั้น

ฉะนั้น เวลาฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ไง เวลาทางโลก เวลาอาหาร เขายังต้องคัดแยกว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์และสิ่งใดเป็นโทษกับร่างกายนี้ เวลาเราจะมาประพฤติปฏิบัติ กุศล-อกุศลไง เวลามันเกิดอกุศลขึ้นมา อกุศลมันครอบงำหัวใจ อกุศลกิเลสนี่มันชอบ อกุศลเป็นทางหากินของกิเลส เวลากิเลสมันเกิดขึ้น อวิชชาความไม่เข้าใจของมัน มันก็เอาแต่ประโยชน์ของมัน เอาประโยชน์ของมัน ทำสิ่งใดเราสร้างขึ้นมาแต่บาปกรรมขึ้นมา มันก็เป็นวิบากกับใจดวงนั้น ความลับไม่มีในโลก ใจดวงนั้นเป็นคนทำ ถ้าเป็นกุศลล่ะ กุศลมันก็เป็นวิบาก วิบากก็คือวิธีการ วิบากก็คือมรรค วิบากก็คือการกระทำ

ความเพียรชอบ มนุษย์จะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ ความเพียรของหัวใจ เวลาปัญญามันเกิด ดูสิ นักบริหารจัดการ เวลาบริหารเขาใช้ปัญญาของเขา เขาเครียดขนาดไหน เขาบริหารจัดการด้วยปัญญาของเขา เวลาภาวนามยปัญญามันเกิดขึ้นมา เหนื่อยหอบมาก เหนื่อยมากนะ

เวลาเราพุทโธๆ จิตสงบเข้ามามีความสงบ มีความระงับ มีความสุขมาก ความสุขที่เราบังคับตัวเราเองไม่ได้ เราพุทโธ เราใช้ปัญญาอบรมสมาธิรั้งจิตของเราไว้ได้ เอาจิตไว้ในอำนาจของเรา มันก็เป็นความสุขอันหนึ่งนะ เวลามันออกทำงานๆ ออกวิปัสสนา ปัญญารู้แจ้ง ปัญญาที่มันออกขึ้นมา เห็นไหม จิตมันเลยขี้เกียจไง มันไม่อยากออกทำงาน “ออกไปทำไม ถ้ากลับมาอยู่ที่ความสงบมันมีความสงบร่มเย็น พอออกไปมีแต่อาบเหงื่อต่างน้ำ มีแต่ความทุกข์ พระพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวางก็วางแล้ว ทำไมต้องมาขวนขวาย ต้องมาค้นคว้า มาค้นคว้าสิ่งใดล่ะ”...อันนั้นมันเป็นฤๅษีชีไพรไง

พระพุทธศาสนาสอนที่นี่ สอนถึงอริยสัจ สอนถึงสัจจะความจริง ถ้าศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล ผู้ใดปฏิบัติ มรรคยังไม่ก้าวเดินขึ้นไปจะไม่เกิดภาวนามยปัญญา เขาไม่สามารถชำระล้างกิเลสของเขาได้ ถ้าชำระล้างกิเลสของเขาได้ เขาทำของเขาอย่างไร เขาทำของเขาอย่างนี้ ภาวนามยปัญญาไง ถ้าคนไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นพูดไม่ได้ ถ้าคนไม่รู้ไม่เห็นพูดตามตำรา

ครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติแล้วท่านก็รู้ของท่าน รู้ว่าคนนี้ไม่เคยเห็น คนไม่เคยเห็นพูดระดับของมัน วิธีการของมัน ขั้นตอนของมัน เขาพูดผิดหมดแหละ เขาพูดได้เพราะอะไร เพราะธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันมีใช่ไหม ดูสิ มรรค ๘ มรรค ๔ ผล ๔ เราก็พูดตามนั้น แต่ตามนั้น วิวัฒนาการ พัฒนาการของมันเป็นอย่างไร เราทำได้ไหม เรารู้จริงของเราไหม มันเกี่ยวเนื่องอย่างไร

ดูสิ เวลาผู้พิพากษาเขาพิพากษาตามขั้นตอนของเขา ถ้ามันขัดแย้งกัน ถ้ามันลัดขั้นตอนของมัน มันไม่น่าเชื่อถือ เอกสารไม่น่าเชื่อถือ เอกสารเชื่อถือไม่ได้ เชื่อถือไม่ได้ต้องยกให้กับจำเลย นี่ก็เหมือนกัน ใช้วิปัสสนาไปแล้วล้มลุกคลุกคลานขึ้นมา กิเลสมันยิ้มเลย อย่างไรก็อยู่ในอำนาจของมันตลอดไปนั่นล่ะ

แต่ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา ความจริงมันวิปัสสนาของมัน เวลามันแยกแยะของมัน ดูสิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย สักกายทิฏฐิ เวลาทิฏฐิในใจของเรา มันมีทิฏฐิไหม...“ไม่มีทิฏฐิหรอก แต่มันงงๆ”

ความลังเลสงสัย ความงงๆ นั่นแหละสักกายทิฏฐิ ทิฏฐิอยู่จิตใต้สำนึกนั้น เวลาจิตมันลงไปสู่สัมมาสมาธิขึ้นมาแล้วมันเข้าไปถึงตรงนั้น มันไปสำรอก ไปคายของมันตรงนั้น ถ้ามันคายของมันขึ้นมา มันคาย เวลาตทังคปหานมันปล่อยวางชั่วคราว ของเราของชั่วคราว ของจุนเจือกันได้ทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าเป็นความจริงขึ้นมามันหายาก ความจริงขึ้นมามันเป็นความจริง ความจริงแท้ไง กุปปธรรม-อกุปปธรรม

กุปปธรรม สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา เราก็ท่องปากเปียกปากแฉะ “สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา มันเป็นอนัตตา มันเป็นเช่นนั้นเอง มันเป็นเช่นนั้นเอง”...มันเป็นเช่นนั้นเองแล้วทำไมมันทุกข์ล่ะ มันเป็นเช่นนั้นเองแล้วทำไมมันไม่สำรอกไม่คายออกไปล่ะ

แต่เวลามันขาด มันไม่เป็นเช่นนั้นเองหรอก มันขาดโดยสัจจะ แล้วมันต่อกันไม่ได้ ถึงเป็นอกุปปธรรม อกุปปธรรมไม่มีการเปลี่ยนแปลง คงที่ตายตัว

“แล้วคงที่ตายตัวอย่างไรล่ะ คงที่ตายตัวมันก็เป็นอัตตาสิ” นี่ถ้ามันไม่เป็นความจริง

ความจริงมันรู้ของมัน คงที่ตายตัว ตายตัวอย่างใด? ตายตัวแบบนามธรรม ตายตัวแบบธรรม ตายตัวแบบอกุปปธรรม มันจะพัฒนาการของมัน เจริญของมันขึ้นไป นี่การคัดแยก การคัดเลือก สัมมาทิฏฐิ-มิจฉาทิฏฐิ

เวลาอาหารทางโลก อาหารเลี้ยงชีวิตมันก็ยังต้องคัดต้องแยก สิ่งใดที่เป็นพิษเป็นภัย เขาไม่เอาเข้ามาในร่างกายเขา เพื่อสุขภาพร่างกายของเขา เวลาเราภาวนาของเรา การภาวนาของเรา ในอวิชชามันเป็นอวิชชา มันปฏิสนธิ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขาราปจฺจยา วิญฺญาณํ มันอยู่ที่จิตใต้สำนึกอันนี้ มันถึงทำให้เราเวียนว่ายตายเกิดไง คือว่าอวิชชามันมีของมันอยู่แล้ว เห็นไหม ทีนี้เราไปศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากภายนอก แล้วเรามาฝึกหัดฝึกฝนของเราขึ้นมา ฝึกหัดฝึกฝนขึ้นมาให้เป็นมรรคให้เป็นผลของเราขึ้นมา ฝึกหัดฝึกฝนให้เป็นจริงขึ้นมา ถ้าฝึกหัดฝึกฝนให้เป็นจริงขึ้นมา วิธีการเราได้ฝึกหัดฝึกฝนของเราขึ้นมา มันตกทุกข์ได้ยาก มันล้มลุกคลุกคลานมา

ฉะนั้น จิตดวงหนึ่งสู่จิตดวงหนึ่ง จิตทุกดวงใจต้องเป็นแบบนี้ คนที่ประพฤติปฏิบัติต้องล้มลุกคลุกคลาน ล้มลุกคลุกคลานในทางความคิดนะ ล้มลุกคลุกคลานในหัวใจนะ

เวลาร่างกายก็ชื่นบาน หัวใจก็ชื่นบาน หน้าตาก็ชื่นบาน มีความสุขมาก มีความสุขมาก แต่หัวใจมันเศร้าหมอง ทุกดวงใจว้าเหว่ แล้วถ้าเราเอาจริงเอาจังขึ้นมา เราต้องต่อสู้กับมันด้วยความจริงของเรา ด้วยความจริงของเรา เห็นไหม

งานทางโลกอาบเหงื่อต่างน้ำขนาดไหน เวลามันทุกข์มันยาก พักเหนื่อยเดี๋ยวก็หาย แต่หัวใจของเราเวลาพักเหนื่อย ถ้าวางใจ กิเลสมันครอบงำเลย เราวางใจไม่ได้เลย ฉะนั้น วางใจไม่ได้ เวลาต่อสู้มันถึง สติ-ปัญญา มหาสติ-มหาปัญญา มันจะมีการก้าวเดิน มันจะมีพัฒนาการของมัน วิวัฒนาการของมันเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป

ฉะนั้น เวลาพระของเราถ้ามีครูบาอาจารย์ที่ท่านมีคุณธรรมของท่าน ท่านจะรักษาเรื่องนี้มาก เพราะมันได้มาแสนยาก การได้มาแสนยาก ดูสิ ทางการแพทย์ ถ้าใครเรียนจบหมอมา เขาจะกินอาหาร เขารู้เลยว่าอันไหนเป็นพิษเป็นภัย เขาออกห่างเลย เขาไม่เข้าใกล้เลย

ครูบาอาจารย์ท่านเห็นว่าสิ่งใดที่กิเลสมันจะชักนำไป ท่านพยายามจะออกห่างๆ มันไว้ ห่างๆ มันไว้ ห่างๆ มันไว้ ใช้ชีวิตเป็นแบบอย่างไง ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเขาจะได้เอาเป็นแบบอย่าง หนึ่งตัวอย่างดีกว่าร้อยคำสั่ง

สั่งสอนเขา บอกเขาตลอดไป ตัวเราหยำเป มันก็ไม่น่าเชื่อถือ แต่ถ้าเราน่าเชื่อถือ ครูบาอาจารย์ท่านถึงเสียสละ ครูบาอาจารย์ท่านเสียสละ เพราะเวลาอวิชชามันตายไปแล้ว หลวงตาท่านบอกว่า ถ้ายังมีอวิชชาอยู่ เราจะไม่กล้าใช้ชีวิตปกติเลยล่ะ เพราะว่าอวิชชา ของแสลงมันจะฟูขึ้นมาในหัวใจ พอกิเลสมันขาดแล้ว มันจะมองสิ่งใด มันจะทำสิ่งใดได้เต็มหูเต็มตา เพราะอะไร เพราะมันไม่มีสิ่งใดจะไปขุดคุ้ยสิ่งนี้ขึ้นมา เห็นไหม ท่านยังเอาชีวิตของท่านเป็นแบบอย่างเลย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ๔๕ ปี “ภิกษุทั้งหลาย ถ้าเธอโดนโลกธรรมเบียดเบียน ไปที่ไหนมีแต่คนติฉินนินทา ไปที่ไหนมีแต่ความทุกข์ความยาก ให้เธอระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสบสิ่งนั้นมากกว่าเธอหลายเท่านัก”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา จิตใจที่พ้นแล้ว เวลาโลกธรรม ๘ เบียดเบียน ดูเทวทัตสิ ปล่อยช้างไสเข้าไปให้ทำลายเลย ผลักก้อนหินขึ้นมาจะฆ่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดานะ ยังมีคนตามล้างตามผลาญขนาดนั้น แล้วเราเป็นใครล่ะ

คนตามล้างตามผลาญเพราะจิตใจเขาเป็นอย่างนั้น เพราะความคิดของเขาเป็นอย่างนั้น พญามารครอบหัวใจของเขา เขาถึงมีความรู้สึกนึกคิดอย่างนั้น แต่ของเรา เราเป็นชาวพุทธเราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งใดที่เป็นความคิดที่ไม่ดีขึ้นมา เราพยายามจะตบมันด้วยสติของเรา อันนี้ไม่ดีไม่ควรคิด อันนี้ไม่ดีๆๆ อย่าคิดๆๆ แล้วเราพยายามมีสติปัญญาฝึกฝนๆ ขึ้นมาจนเราชนะมันได้ กำราบปราบปรามมันได้ สิ่งที่คิด คิดไม่ดี ไม่ให้มันคิดออกมา ให้คิดแต่สิ่งที่เป็นเรื่องดีๆ นี่เป็นโลกียปัญญานะ

เวลาจิตมันสงบไปแล้วมันเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมา มันจะเกิดความมหัศจรรย์ มหัศจรรย์ที่ว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ เทวดา อินทร์ พรหมส่งข่าวขึ้นไปนะ “จักรนี้ได้เคลื่อนแล้ว” คือสัจจะในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านประกาศออกมา พอประกาศออกมา มีคนรับรู้ พระอัญญาโกณฑัญญะได้สัจธรรมอันนี้ มีดวงตาเห็นธรรม มันประกาศออกมาเป็นความจริงไง จักรนี้ได้เคลื่อนแล้ว จะไม่มีใครย้อนกลับอีกได้ ไม่มี เพราะมันไปคงที่ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปคงที่ในใจของพระอัญญาโกณฑัญญะ ไปคงที่ในใจของผู้ที่ปฏิบัติตามความเป็นจริง เห็นไหม จักรนี้ได้เคลื่อนแล้ว จักรนี้ได้เคลื่อนแล้ว การกระทำได้เคลื่อนแล้ว

เราทำบุญกุศลกัน เราทำด้วยหยาดเหงื่อแรงงานของเรา อุตส่าห์มาอุทิศส่วนกุศล ทำบุญกุศลเพื่อหัวใจของเรา อุทิศหยาดเหงื่อแรงงานของเรา แต่เวลาภาวนาขึ้นมา เราต้องมีมรรคมีผลขึ้นมา เราอุทิศขึ้นมาด้วยความเพียรชอบ ด้วยความวิริยอุตสาหะขึ้นมา เราจะปราบปราม เราจะชำระล้างอวิชชา

อวิชชาคือความไม่รู้ มันไม่รู้เรื่องอะไร มันไม่รู้เรื่องอะไร ใจนี้มันไม่รู้เรื่องอะไร อยากรู้นักว่ามันไม่รู้เรื่องอะไร ก็รู้อยู่ขณะนี้ รู้ทุกเรื่องแหละ แต่ไม่รู้เรื่องการเกิด การตาย ไม่รู้ว่าตัวเองมาจากไหน แล้วตัวเองจะไปไหน ไม่รู้อะไรเลย

แต่มันสำรอกมันคายของมันแล้วมันแจ่งแจ้ง มาจากไหน อยู่ทำไม แล้วจะไปไหน ไปอย่างไร มันจะรู้แจ้งขึ้นมา รู้แจ้งในหัวใจของเรา ค้นคว้าที่นี่ทำ

บุญกุศล ทำบุญกุศลก็เพื่อเป็นอามิส กุศลและอกุศลทำให้หัวใจเราเวียนว่ายตายเกิด แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เกิดธรรมจักร เกิดสัจธรรม เกิดมรรคญาณ มันจะสำรอกมันจะคายออกไป แล้วพิสูจน์ได้ ไม่ต้องถามว่าพระพุทธเจ้ามีจริงหรือเปล่า

นี่การประพฤติปฏิบัติ ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต พระพุทธเจ้าก็รู้อย่างนี้ ครูบาอาจารย์เราก็รู้อย่างนี้ ถ้าเรารู้อย่างนี้ได้ ถ้ารู้ไม่ได้มันก็สำรอกกิเลสไม่ได้ แล้วถ้ามันสำรอกได้ มันไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตัวเป็นๆ เลย มันไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความสดๆ ร้อนๆ แล้วทำไมพระพุทธเจ้าจะไม่มี มันมีอยู่ท่ามกลาง พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

เรามีความรู้สึกไหม ความรู้สึกนั้นคือพุทธะ พุทธะอยู่กลางหัวใจของเรา แต่มันโดนครอบงำด้วยอวิชชาไง ถ้าเป็นความจริงขึ้นมามันก็จบไง เราดูแลหัวใจเรา เราอุปัฏฐากหัวใจของเราด้วยสติด้วยปัญญาของเรา เอวัง